ประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีการพัฒนาการ มาโดยลำดับ ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน โดยอาจแบ่งพัฒนาการตามความสำเร็จของการบริหารและพัฒนามหาวิทยาลัยได้ ๓ ยุค

ยุคที่หนึ่ง : ยุคแห่งการก่อตั้งและขยายตัวของมหาวิทยาลัย

เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยาวนานเกือบ ๒ ทศวรรษ อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๒๖ ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการก่อตั้งและการขยายตัวของมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช  ๒๕๑๐
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช  ๒๕๑๐
          มหาวิทยาลัยขอนแก่น (อังกฤษ: Khon Kaen University; อักษรย่อ: มข., KKU.) เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อตั้งขึ้นตามนโยบายการขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาสู่ส่วนภูมิภาคตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ ๑ ของประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนากำลังคนและองค์ความรู้เพื่อการแก้ปัญหาให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และมีประชากรเป็น ๑ ใน ๓ ของประเทศ ในแต่ละปีต้องเผชิญกับปัญหาภัยแห้งแล้งและผลผลิตทางภาคการเกษตรไม่ดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีประชากรที่ยากจนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐ และได้พระราชทานพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

“การตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งนั้นเป็นคุณอย่างยิ่ง เพราะทำให้การศึกษาชั้นสูงขยายออกไปถึงภูมิภาคที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประเทศ ซึ่งต่อไปจะเป็นผลดีแก่การพัฒนา ยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จในการตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงเป็นความสำเร็จที่ทุกคนควรจะยินดี”

• ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ รัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูง ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ ขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยได้เสนอชื่อสถาบันแห่งนี้ว่า “สถาบันเทคโนโลยีขอนแก่น” และเสนอชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Khon Kaen Institute of Technology” มีชื่อย่อว่า K.I.T. หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อสถาบันเป็น “มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีชื่อย่อว่า “North-East University หรือ N.E.U” เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีหน่วยราชการใด ที่จะรับผิดชอบการดำเนินการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยโดยตรง รัฐบาลจึงได้มีมติให้สภาการศึกษาแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบในด้านการหาสถานที่ จัดร่างหลักสูตร ตลอดจนการติดต่อความช่วยเหลือจากต่างประเทศ

• ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ คณะอนุกรรมการฯ ได้ตกลงเลือกบ้านสีฐานเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัย โดยมีเนื้อที่ประมาณ ๕,๕๐๐ ไร่ ห่างจากตัวเมืองขอนแก่น ๔ กิโลเมตร

• เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้มีการก่อสร้างอาคาร “คณะวิทยาศาสตร์-อักษรศาสตร์” และรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรุ่นแรก ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ จำนวนทั้งสิ้น ๑๐๗ คน

 ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ คณะรัฐมนตรีมีมติให้เปลี่ยนชื่อ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็น “มหาวิทยาลัยขอนแก่น” ตามชื่อเมืองที่ตั้ง และได้โอนกิจการจากสำนักงานสภาการศึกษาแห่งชาติไปเป็นของมหาวิทยาลัยขอนแก่น 

• ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งถือเป็น วันสถาปนามหาวิทยาลัย 

ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๖

มหาวิทยาลัยขอนแก่นในยุคเริ่มก่อตั้ง มี ๓ คณะวิชา ประกอบด้วย คณะเกษตรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์-อักษรศาสตร์ (ซึ่งจะทำหน้าที่สอนในรายวิชาพื้นฐานยังไม่ได้เปิดรับนักศึกษา) ในปีแรกมีการรับนักศึกษา จำนวนทั้งสิ้น ๑๐๗ คน และมีบัณฑิตระดับปริญญาตรีรุ่นแรกในปีการศึกษา ๒๕๑๐ จำนวน ๕๙ คน ต่อมาได้มีการจัดตั้งคณะศึกษาศาสตร์ (๒๕๑๒) คณะพยาบาลศาสตร์ (๒๕๑๔) และคณะแพทยศาสตร์ (๒๕๑๕) ทำให้ในช่วงนี้มีคณะวิชา รวมทั้งสิ้น ๖ คณะวิชา นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่นขึ้นมาเพื่อใช้เป็นฐานในด้านการเรียนการสอน และเป็นการบริการวิชาการให้แก่ชุมชนภายนอกมหาวิทยาลัยด้วย

ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๒๖

มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีการขยายการศึกษาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยมีการจัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ (๒๕๒๑) คณะสาธารณสุขศาสตร์ (๒๕๒๑) คณะทันตแพทยศาสตร์ (๒๕๒๒) คณะเภสัชศาสตร์ (๒๕๒๓) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (๒๕๒๑) และบัณฑิตวิทยาลัย (๒๕๒๑) นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนภารกิจของมหาวิทยาลัย เช่น สำนักวิทยบริการ สถาบันวิจัยและพัฒนา และที่สำคัญมีการสร้างโรงพยาบาลศรีนครินทร์ นอกจากจะใช้เป็นฐานในการผลิตบัณฑิตในสาขาแพทยศาสตร์แล้ว ยังเป็นแหล่งให้บริการด้านการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย ในช่วงนี้มีคณะวิชารวมทั้งสิ้น ๑๒ คณะวิชา